โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน ในกรุงวอชิงตันดีซีของสหรัฐ เผยภาพสามมิติจำลองปอดของคนไข้ที่ถูกเชื้อโคโรนาไวรัสเล่นงานจนเสียหายคนไข้ชายวัย 59 ปีรายนี้นอกเหนือจากภาวะความดันโลหิตสูงแล้ว เขาก็ไม่มีโรคประจำตัวอย่างอื่น เขาติดเชื้อโคโรนาไวรัสโดยไม่แสดงอาการ แต่ขณะนี้คนไข้มีภาวะปอดล้มเหลวต้องรักษาตัวในห้องไอซียู โดยต้องใช้ทั้งเครื่องช่วยหายใจ และเครื่องช่วยหมุนเวียนและเติมออกซิเจนในเลือด
สีเหลืองในปอดที่ปรากฏในคลิปคือพื้นที่ปอดที่มีการติดเชื้อและอักเสบ
คีธ มอร์ทแมน หัวหน้าแผนกศัลยกรรมทรวงอกโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน อธิบายว่า ปอดจะรับมือกับการติดเชื้อไวรัสด้วยการปิดกั้นไวรัส จากการสแกนปอดของผู้ป่วยรายนี้เห็นได้ชัดเจนว่าความเสียหายของปอดไม่ได้อยู่ในจุดเดียว แต่กระจายไปในปอดทั้งสองข้าง แสดงให้เห็นว่าการติดเชื้อลุกลามอย่างรวดเร็วและรุนแรงแม้ในคนไข้ที่อายุไม่มาก
ในผู้ป่วยที่มีภาวะระบบทางเดินหายใจล้มเหลว ปอดจะเสียหายอย่างรวดเร็วและเป็นวงกว้าง และเมื่อเกิดความเสียหายในระดับนี้แล้ว ปอดจะต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูอีกนาน ซึ่งปอดของคนไข้ Covid-19 ประมาณ 2-4% จะเสียหายจนไม่สามารถฟื้นฟูได้และเสียชีวิตในที่สุด
มอร์ทแมนอธิบายต่อว่า เชื้อโคโรนาไวรัสเข้าสู่ไปอยู่ในเยื่อเมือกในร่างกายแล้วเข้าไปในปอด โดยร่างกายจะพยายามต่อสู้กับเชื้อนี้ด้วยการแสดงอาการอักเสบ
เมื่อเกิดการอักเสบ ปอดจะไม่สามารถเติมออกซิเจนและจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเลือด ทำให้ผู้ป่วยหายใจหอบ หรือต้องหายใจเอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายมากๆ เพื่อให้ปริมาณออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสมดุลกัน
มอร์ทแมนเตือนทิ้งท้ายว่า “ผมอยากให้ทุกคนเห็นและเข้าใจว่าเชื้อโคโรนาไวรัสทำอะไรกับปอดเราบ้าง เราต้องตระหนักเรื่องนี้กันให้มาก เพราะในบางรายปอดจะไม่สามารถฟื้นตัวได้เลย”
อีกข่าว
สำนักข่าว Dailymail รายงานว่า นักวิจัยที่สถาบันโรคติดเชื้อแห่งชาติในกรุงโรม ประเทศอิตาลี ได้เปิดเผยภาพเอ็กซเรย์ปอดของเหยื่อไวรัสโควิด-19 รายแรกของประเทศ ซึ่งเป็นสองสามีภรรยาจากเมืองอู่ฮั่นที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในอิตาลี
ฝ่ายสามีอายุ 67 ปี สุขภาพแข็งแรงดี ส่วนภรรยาอายุ 65 ปี สุขภาพแข็งแรงเช่นกันแต่ต้องรับประทานยาทุกวันจากอาการความดันโลหิตสูง
ภาพการสแกนเอ็กเรย์แสดงให้เห็นว่าไวรัสโควิด-19 ทำลายปอดและระบบทางเดินหายใจคล้ายกับซาร์ส, เมอร์ส แต่ในลักษณะที่แตกต่างกัน ภาพนี้ได้รับอนุญาตจากลูกสาวของผู้ป่วยทั้ง 2 ราย เพื่อใช้เป็นกรณีศึกษา ต่อไป สภาพปอดที่อยู่เเล้วก่อนโควิดทำลาย
กลุ่มแพทย์และสื่อกำลังพยายามกดดัน ในหลายรูปแบบ ให้คนที่ไม่ต้องการฉีดรับการฉีด ทั้งๆ ที่พวกท่านยอมรับเองว่า วัคซีนไม่สามารถป้องกันการติดเชื่อได้ หรือ ป้องกันการแพร่เชื้อได้ บทความนี้เราไม่ได้เขียนมาเพื่อกีดกันไม่ให้ใครฉีด แต่เขียนเพื่อให้ข้อมูลว่าทำไมเราถึงเลือกที่จะไม่ฉีด สื่อและแพทย์ให้ข้อมูลสนับสนุนวัคซีนเยอะแยะเต็มไปหมด หากคุณสนใจรับข้อมูลในมุมกลับกัน ในบทความนี้เราแสดงข้อมูลหลักฐานอีกด้าน ทุกอย่างมี 2 ด้านเสมอ วัคซีนจะดีครบ 100% ไม่ได้ ผมเชื่อว่าทุกท่านเห็นด้วยกับเรื่องนี้
แพทย์ที่ไม่มีผลประโยชน์จากการขายวัคซีน ที่มีแต่ความเสี่ยง และ ความยากลำบาก ในการแสดงความคิดเห็นของพวกท่านที่เตือนให้ผู้คนตระหนักถึงข้อมูลอีกมุมมอง กำลังถูกเซนเซอร์อย่างต่อเนื่อง วันนี้ผมรวบรวมข้อมูลจากท่านทั้งหลายมาฝากเพื่อนๆ พี่ๆ ทุกท่านครับ
หากคุณพร้อมแล้วเรามาเริ่มด้วยคลิปแอนิเมชั่นนี้ที่จะปูพื้นฐานความเข้าใจว่า mRNA คืออะไร
ยาฉีดนี้ไม่ใช่วัคซีน
ตามกฎ CDC ของสหรัฐฯ ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์จะสามารถถูกเรียกว่าวัคซีนได้ในกรณี:
วัคซีน : ผลิตภัณฑ์ที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกันโรคเฉพาะ ปกป้องบุคคลจากสิ่งนั้น วัคซีนมักได้รับการฉีดด้วยเข็ม แต่สามารถให้ทางช่องปากหรือจมูกได้
ภูมิคุ้มกัน: การป้องกันจากโรคติดเชื้อ หากคุณมีภูมิคุ้มกันต่อโรค คุณสามารถสัมผัสได้โดยไม่ต้องติดเชื้อ
คำจำกัดความของวัคซีน: https://www.cdc.gov/vaccines/vac-gen/imz-basics.htm
คนที่ฉีด สามารถ แพร่เชื้อ ให้ผู้อื่นได้
จากหลักฐานด้านบน มันชัดครับว่า ยาฉีดเหล่านี้ ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการติดเชื้อ หรือ ป้องกันการแพร่เชื้อ แต่ทุกวันนี้สังคมแตกแยกไปแล้วใครที่ไม่ฉีดถูกมองว่าเป็นพวกแพร่เชื้อ เรื่องนี้ไม่ถูกต้อง มันคือกลไกทางจิตวิทยาที่ใช้คนที่ฉีดแล้วไปกดดันหรือกล่าวหาคนที่ไม่ฉีด วาระย่อย ณ ปัจจุบันของรัฐบาลทั่วโลกคือ การสร้างความแตกแยกในสังคม แล้วในอนาคตอันใกล้รัฐบาล (กลุ่มแพทย์) จะเริ่มโทษกลุ่มที่ไม่ฉีดเป็นผู้แพร่เชื้อ สู่ผู้ที่ฉีดแล้ว
ผมเขียนเพื่อให้ทุกท่านทราบถึงกลยุธที่พวกเขากำลังใช้ ไม่ว่าวัคซีนจะป้องกันการติดเชื้อได้หรือไม่ก็ตาม ในเมื่อมันป้องกันไม่ได้ ดังนั้นทุกคนสามารถแพร่ให้กันได้ หรือ หากมันป้องกันได้ก็ตามผู้ที่ฉีดแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องระแวงผู้ที่ไม่ฉีด (เพราะวัคซีนปกป้องผู้ที่ฉีดได้ไม่ใช่หรือ?)
พวกเราต้องดูแลสังคมตัวเอง คุณเห็นด้วยไหมครับ? คลิปสั้นด้านล่างนี้ไม่ใช่ในประเทศยากจนที่ไหนแต่สะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยกที่เกิดขึ้นแล้วในฝรั่งเศส ผู้ที่ไม่ฉีดไม่สนับสนุนธุรกิจของร้านค้าที่ไม่สามารถให้พวกเขารับประทานอาหารในร้านได้ คนที่ฉีดนั่งโต็ะ คนที่ไม่ฉีดนั่งพื้น มันไม่ถูกต้อง คลิปถัดไป โรงพยาบาลเริ่มไม่อนุญาติให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาหากไม่ฉีดวัคซีน
สภาพปอดหลังป่วย
ขอกลับเข้าเรื่อง ‘วัคซีน’ ต่อครับ
ทำไมต้องพยายามเปลี่ยนสถานะ ยาในเข็มนี้ (ที่ไม่ใช่วัคซีน) มาเป็น วัคซีน?
คุณคิดไหม ว่าถ้ามันลดอาการได้จริง มันก็น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม แต่ทำไมพวกเขาต้องตั้งชื่อผลิตภัณฑ์นี้ว่า วัคซีน ในเมื่อมันไม่ใช่วัคซีน คุณจะเรียกสิ่งนี้ว่ายาด้วยความถูกต้อง เช่น ยาลดอาการโควิด แม้คุณจะขายเข็มละหมื่นคนก็ซื่อ แต่ทำไมต้องพยายามหาวิธีเปลี่ยนสถานะของยานี้ให้เป็นวัคซีน?
1986 ACT:
มีกฏหมายฉบับนึงที่เรียกว่า 1986 Act กฏหมายฉบับนี้ปกป้องผู้พลิตวัคซีนจากความรับผิดชอบทุกประการ ครบ 100% นั้นหมายความว่า หากผู้คนฉีดวัคซีนไป และเกิดสิ่งไม่ประสงค์ใดๆ ก็ตาม แม้กระทั้งเสียชีวิต คุณไม่สามารถเอาผิดบริษัทเหล่านี้ได้ ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น อย่างมากคุณสามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากรัฐบาลได้ เช่นที่เมืองไทย รัฐบาลจ่าย 400,000 บาท แต่เงินนี้มาจากภาษีคนไทยไม่ใช่บริษัทผลิตวัคซีน บริษัทจะฉีดยาพิษให้คุณก็ยังได้เขาก็ไม่ความผิด ตราบใดที่ยาตัวนั้นมีชื่อว่า ‘วัคซีน’ พวกเขาจึงกล้าขายยานี้ ไม่งั้นก็คงไม่ออกมาจำหน่ายด้วยคำชวนเชื่อต่างๆ ที่เราเห็นทุกวันนี้
ที่มา – https://www.congress.gov/bill/99th-congress/house-bill/5546
ฉะนั้นถ้าหากบริษัทเหล่านี้ไม่เอายานี้มาเปลี่ยนสถานะเป็นวัคซีน พวกเขาจะไม่สามารถทำการทดลองและเดินหน้ากับวาระของพวกเขาได้ ซึ่งก็คือ … พร้อมไหมครับ … ลดประชากรโลก และ มนุษย์ 2.0 ผมขอเขียนรายละเอียดในบทความต่อไป ความลับของวัคซีน mRNA (ฉบับที่ 2)
ส่วนวรรคแรก “การป้องกันความรุนแรงของโรค COVID-19”
เรื่องนี้เราขอแบ่งเป็น 3 ข้อ
ข้อที่ 1
“ในเมื่อสิ่งนี้ไม่ใช่วัคซีนที่ไม่ได้มีไว้การป้องกัน แต่มีเพื่อลดอาการ ฉะนั้นมันคือยารักษา ผลิตภัณฑ์ที่มีไว้ลดอาการการเจ็บป่วยจากหนักเป็นเบา เขาเรียกว่า ‘ยารักษา’ ดังนั้น เมื่อคุณกำลังลดอาการให้น้อยที่สุด คุณต้องเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์นี้กับยารักษาอื่นๆ ที่ลดอาการความรุนแรงของโรคได้ เช่น ไฮดรอกซีคลอโรควิน (Hydroxychloroquine) หรือ ไอเวอร์เม็กติน (Ivermectin)” โดยการเทียบผลประโยชน์หักลบกับความเสี่ยงต่างๆ
ที่มา –
โควิดมียารักษาแต่ถูกปิดบัง
https://www.foxnews.com/media/hydroxychloroquine-could-save-lives-ingraham-yale-professor
ไฮดรอกซีคลอโรควิน (Hydroxychloroquine) และ ไอเวอร์เม็กติน มีประวิติการใช้งานหลายสิบปีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพการรักษาที่สูง ซึ่งแพทย์นำมาใช้ในการรักษาโควิดได้ผลลัพย์ที่สูงถึง 85% ในเคสหนักๆ ตามการให้สัมภาษณ์ของ น.พ. ปีเตอร์ แม็คคัลลูห์ “หากรัฐได้สบับสนุนการใช้ยารักษาเหล่านี้ 85% ของผู้ที่เสียชีวิตในสหรัฐฯ ยังคงมีชีวิตอยู่” – น.พ. ปีเตอร์ แม็คคัลลูห์ (คลิปนี้สำคัญ)
ลวิจัยโดย NIH ชี้ ไฮดรอกซีคลอโรควินมีประสิทธิภาพและสม่ำเสมอ ดังนั้นเมื่อให้ยาแต่เนิ่นๆ สำหรับโควิด-19:https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7534595/
ทุกวันนี้ทั้งหน่วยงานสาธารรสุข รัฐบาล และ สื่อ พยายามกด ปกปิด และห้ามไม่ให้มีการใช้ยารักษาเพื่อที่จะพลักดัน ‘วัคซีน’ ซึ่งไม่ใช่วัคซีน ผมมีความลับสั้นๆ อีกอย่างมาบอกคุณครับ สาเตุที่พวกเขาจำเป็นต้องโจมตี ยาเหล่านี้โดยการกล่าวหาว่าอันตราย หรืออื่นๆ เช่นฟ้าทลายโจรทำลายตับไต (กินให้ถูกต้องก็ปลอดภัยครับ) เพราะวัคซีนนี้อยู่ในระหว่างการฉีดแบบฉุกเฉิน ซึ่งตามกฏหมายคุณจะสามารถให้อนุญาติการฉีดฉุกเฉินได้ก็ต่อเมื่อผ่าน 4 ข้อกฏหมาย ซึ่ง 1 ในนั้นคือ ต้องไม่มียารักษาอื่นๆ ที่สามารถทำการรักษาได้
ฉะนั้นเมื่อมียารักษาเป็นทางการ พวกเขาจะถูกยกเลิกกฏหมายฉีดวัคซีนฉุกเฉินทันที แพทย์และกระทรวงสาธารณะสุขจึงต้องรีบออกมาโจมตีกล่าวหายารักษาต่างๆ ให้ทันท่วงที (น่าคิดไหมครับ ว่าพวกเขามีอะไรให้เสียถ้าหากวัคซีนถูกยกเลิก?)
ไม่แปลกที่แม้แต่รายการของท่านสนธิถูก Youtube ลบออก เพราะท่านให้ข้อมูลประชาชนเกี่ยวกับฟ้าทะลายโจร ซึ่งตามที่ท่านใด้ให้ข้อมูล ฟ้าทะลายโจรสามารถช่วนในการรักษาได้ หากข้อมูลเหล่านี้แพร่ออกไปเรื่อยๆ 1. ผู้คนจะกลัวโควิดน้อยลงและอาจไม่เลือก ‘วัคซีน’ และ 2. หากผู้คนเริ่มรู้สิ่งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนประชาชนจะต้องกดดันให้มีการใช้ ยา นี้ให้ได้รับการยอมรับ ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีต่อการบังคับฉีดวัคซีนแน่ๆ เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับท่านสนธิท่านเดี่ยว แต่เกิดขึ้นกับแพทย์ทั่วโลก
ขอบคุณครับ
ผมขอยกตัวอย่างสั้นๆ ที่อินเดียแพทย์ใช้ยา ไอเวอร์เม็กติน (Ivermectin) ในการรักษาซึ่งใด้ผลที่ดีมาก แพทย์ที่อินเดียที่ ‘ตื่นแล้ว’ และรู้ทันแล้วว่าอะไรทำลังเกิดขึ้น ให้การรักษาประชาชนชาวอินเดีย แม้ WHO จะออกมาห้ามก็ตาม
แปลไทย - รัฐอินเดียจะเสนอ Ivermectin ให้กับประชากรผู้ใหญ่ทั้งหมด – แม้ในขณะที่ WHO เตือนถึงการใช้ Ivermectin ในการรักษา Covid-19
เวลานี้มี 5 รัฐในประเทศอินเดียที่ไม่ทำตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก แพทย์ใน 5 รัฐนี้จ่ายยา Ivermectin ให้กับผู้ป่วย และเริ่มมีการฟ้องร้อง Dr. Soumya Swaminathan หัวหน้า นักวิทยาศาสต์ ของ WHO ในข้อหาห้ามยาที่มีประสิทธิภาพทำให้ผู้คนเสียชีวิตมากมาย ซึ่งผิดต้องจรรยาบันการเป็นแพทย์ที่ร้ายแรง
ที่มา : https://www.thelancet.com/journals/lancet/article/PIIS2666-5247(21)00069-0/fulltext
คุณเห็นความแตกต่างไหมครับ ที่เขาอ้างว่าไฟเซอร์มีประสิทธิภาพ 95% อันที่จริงแล้วคือเพียง 0.84%
ที่มาของข้อมูลนี้มาจาก The Lancet ซึ่งได้ความยอมรับว่าเป็นแหล่งการตีพิมพ์การวิจัยทางวิทยาศาสต์การแพทย์ ท็อป 3 ของโลก ไม่ใช่เพียงแค่ The Lancet ผลวิจัยจาก NIH ของสหรัฐฯ ก็แสดงข้อมูลตรงกัน https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC8057721/
เราได้แค็ปภาพผลวิจัยและแปลเป็นไทยด้านล่าง
แปลไทย - ARR มักจะถูกละเลยเพราะให้ตัวเลขประสิทธิภาพที่น่าประทับใจน้อยกว่า RRR: 1·3% สำหรับ AstraZeneca–Oxford, 1·2% สำหรับ Moderna–NIH, 1·2% สำหรับ J&J, 0·93% สำหรับ Gamaleya และ 0·84% สำหรับวัคซีน Pfizer–BioNTech
ข้อที่ 3. ถ้าวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไม่ได้ ทำไมสถิติที่ CDC ของสหรัฐฯ ออกมาชี้ให้เห็นว่า มันลดจริง?
คำถามนี้มีสองคำตอบ
3.1 ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา ทาง CDC ได้ปรับเปลียนวิธีการนับผู้ติดเชื่อใหม่
ใครที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว เมื่อติดเชื้อ (ที่เขาเรียกว่า Breakthrough Case) จะไม่ถูกนับเป็นโควิด (ยกเว้นมีอาการหนักและเข้าโรงพยาบาล) ฉะนั้นสมมุติว่าวันนี้มีผู้ติดเชื่อ 20 คน มี 10 คนที่ฉีดครบ 2 เข็มแล้ว และอีก 10 คนยังไม่ได้ฉีด พวกเขาจะนับว่ามีผู้ติดเชื่อเพียง 10 รายและข่าวแจ้งว่ามีผู้ติดเชื้อ 10 รายนี้ เป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนทำให้คนเข้าใจว่า พวกเขาควรฉีดวัคซีน
Dr. Harvey Risch จาก Yale School of Medicine ในการให้สัมภาษณ์กับ Laura Ingraham แห่ง Fox News ได้กล่าวว่า
"แน่นอนว่าผู้ติดเชื่อเหล่านั้นไม่ได้ขึ้นทะเบียนสำหรับการตรวจนับของ CDC สัดส่วนที่นับคือพวกที่เขาอ้างว่าอยู่ในคนที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน"
3.2 คำตอบสั้นๆ คือ พวกเขากำลังโกหก
หากคุณศึกษาข้อมูลของประเทศอื่นๆ คุณจะเห็นว่าประชากรที่ฉีดมีการติดเชื้อ (และข้อมูลจาก อิสราเอลผู้ป่วยที่เข้าโรงพยาบาลที่มีอาการหนักนั้น 95% เป็นผู้ป่วยที่ฉีดครบ 2 เข็มแล้ว) มากกว่าคนที่ไม่ฉีด ซึ่งคุณสามารถอ่านได้ที่บทความ – สรุปผลจากประเทศที่ฉีดแล้ว ชี้ให้เห็นชัดว่าฉีดแล้วยิ่งรุนแรงมากขี้น
‘วัคซีน’ กำลังทำลายภูมิต้านทานและทำให้ ‘ไวรัส’ ดุมากขึ้น
มีคนส่งข้อมูลชิ้นหนึ่งมาให้ผมแล้วบอกผมว่า “ฟังด่วน!” เมื่อรับข้อมูลในคลิปนั้น ผมรีบเข้าไปสื่บความจริงว่าคนที่พูดในคลิปเป็นคนที่เขาอ้างว่าเขาเป็นจริงหรือไม่ เมื่อรู้ว่าเขาคือคนที่เขาอ้างว่าเขาเป็นจริง ผมเข่าอ้อนขึ้นมาทันที แล้ว เต็มไปด้วยความกังวล
ลิปที่ผมได้รับเป็นของ Dr. Geert Vanden Bossche ดร. ท่านนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญทาง จุลชีววิทยาและโรคติดต่อ ท่านจบปริญญาเอกด้านไวรัสวิทยาและประกอบอาชีพที่ยืนยาวในด้านวัคซีนมนุษย์ ในองกรที่ใหญ่ที่สุดด้านวัคซีนในมนุษย์ GAVI ซึ่งเป็นความร่วมมือด้านสุขภาพระดับโลกทั้งภาครัฐและเอกชน โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการเข้าถึงการสร้างภูมิคุ้มกันในประเทศยากจน
เขาไม่ใช่กลุ่ม แอนตี้วัคซีน ที่สื่อมักกล่าวหา แพทย์และนักวิทยาศาสต์ที่ไม่เห็นด้วยับการฉีดวัคซีน คงไม่มี ดร. ท่านไหน สนับสนุนวัคซีนไปมากกว่าท่านนี้ ในฐานะที่ท่านเองเป็นผู้อยู่เบื่องหลังการวิจัย คิดค้นและทำวัคซีนต่างๆ และที่สำคัญเขาทำงานให้กับบริษัทที่มีพวกกลุ่ม อภิมหาเศรษฐีที่สร้างโควิดขึ้นมา
สิ่งที่ท่านออกมาพูดคือ วัคซีนตัวนี้กำลงทำลายภูมิต้านทานธรรมชาติของคนที่รับวัคซีนในชนิดที่ว่า ภูมิผู้นั้นจะสามารถรับมือกับกับสายพันธ์ นั้นๆ ได้เพียงสายพันธ์เดียว และจะไม่สามารถรับมือกับไวรัสหรือโรดอื่นๆ ได้ นั้นหมายความว่าถ้าไม่รีบหยุด ผู้ที่ฉีดอาจค่อยๆ ทำลายภูมิต้านทานธรรมชาติของตัวเองแล้วสุดท้าย (อันนี้คิดเอง ต้องไปเพิ่งพายาเหล่านี้ไปตลอดเพื่ออยู่รอดต่อไป) ลองไปฟังสิ่งที่ท่านพูดดูครับ
คุณสามารถดูคลิปได้ที่นี้ : https://www.bitchute.com/video/RKU4mEe3fCgw/
Dr. Geert Vanden Bossche ได้เขียนบทความการวิเคาระห์และคาดการณ์ผลลัพธ์ของการฉีดวัคซีนจำนวนมากในช่วงการระบาดของโรคซาร์ส-2-CoV ที่แพร่ระบาดมากขึ้น (ผมแปลข้อสรุปโดยรวมด้านล่างนี้) ท่านได้ทำคลิปเรียกร้องให้แพทย์ทั่วโลกรวมถึง WHO หยุดการฉีดวัคซีนโดยด่วน:
ที่มา
– https://www.geertvandenbossche.org/post/predictions-on-outcome-of-mass-vaccination-during-a-pandemic-of-more-infectious-sars-2-cov-variants
– Dr. Geert Vanden Bossche ทำคลิปเรียกร้องให้แพทย์ทั่วโลกรวมถึง WHO หยุดการฉีดวัคซีนโดยด่วน
– สรุปผลจากประเทศที่ฉีดแล้ว ชี้ให้เห็นชัดว่าฉีดแล้วยิ่งรุนแรงมากขี้น
เราทุกคนกำลังถูกเซนเซอร์ข้อมูลความจริง
แม้กระทั้ผู้คิดค้น mRNA วัคซีน Dr. Robert Malone (คงไม่มีใครรู้เรื่อง mRNA มากไปกว่าท่าน) ยังถูกเซนเซอร์เพราะท่านพยายามออกมาเตือนผู้คนถึงภัยของยาฉีดนี้
พวกเรากำลังถูกเซนเซอร์ข้อมูล ความจริง และ ถูกพลักดันให้รับยาทดลองนี้ที่ไม่ใช่วัคซีน
คุณเคยเล่นเกม์ที่ ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้เล่น เป็นกรรมการ และ เป็นคนตั้งกติกาไหมครับ? เกมส์เหล่าคุณไม่มีวันชนะได้ นี้แหละครับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ผมจะเขียนสั้นๆ (ไว้จะเขียนรายละเอียดครับ) โรคระบาดครั้งนี้ถูกสร้างขึ้น (มีหลักฐานชัดเจนในบทความต่อไป) (เป็นอาวุธทางชีวภาพ และ ไม่ใช่ไวรัส ไวรัสไม่มีอยู่จริงไม่ใช่สาเหตุของโควิด 19 ) โดยกลุ่มคนที่เล็กมากที่เป็นอภิมหาเศรษฐีของโลก เช่นครอบครัว Rothschilds, Rockefeller, Klaus Schwab บุคคลเหล่าเป็นผู้ก่อตั้งองค์การระดับโลกต่างๆ เช่น องค์การอนามัยโลก (WHO) ฟอรัมเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ที่คุม UN และ UN มาคุมรัฐบาลทั่วโลกอีที ที่เลือกนักการเมืองมาเป็นผู้นำต่างๆ เช่น
- Joe Biden ประธานาธิบดี ของ สหรัฐฯ
- Boris Johnson นายกรัฐมนตรี ของ อังกฤษ
- Scott Morrison นายกรัฐมนตรี ของ ออสเตรเลีย
- Justin Trudeau นายกรัฐมนตรี ของ แคนาดา
- รวมถึงองการ์อื่นๆ เช่น องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development | OECD ) ก็เป็น พวกเดียวกัน เขาจึงทำงานร่วมกันแต่เรามองไม่ออกถ้าหากไม่สังเกตุดีๆ
ส่วน WHO หรือ องการค์อนามัยโลกมาควบคุมแพทย์ หน่วยงานสาธารณะสุข ที่ประสารกับหน่วยงานเช่น CDC FDA และอื่นๆ ที่มีบทบาดต่างๆ อีกที ที่ออกกฏและมาตรการต่างๆ ซึ่งถูกควบคุมโดย Bill Gate อีกที คุณคงเคยได้ยินเรื่องการฝังชิพ Bill Gate จดสิทธิบัตรไว้แล้ว สิทธิบัตรหมายเลข WO2020060606 คุณสามารถดูได้ที่นี่ https://patentscope.wipo.int/search/en/detail.jsf?docId=WO2020060606
ถ้าเรื่องนี้ไม่จริง Bill Gate จดสิทธิบัตรทำไม?
DARPA สำนักงานโครงการวิจัยขั้นสูงของกระทรวงกลาโหม ของสหรัฐฯ (The Defense Advanced Research Projects Agency) พวกนี้จะไม่ออกหน้าแต่จะแต่งตั้ง บุคคลปั้นให้มีชื่อเสียงแต่พวกเขาควบคุมทุกอย่างเช่น Facebook, Google, Microsoft, Tesla ที่มีบุคคลเช่น Bill Gates, Mark Zuckerberg, Elon Musk พวกนี้เป็นหน้าม้า และเทคโนโลยีทั้งหลายที่บริษัทเหล่านี้ผลิตออกมา ล้วนมาจาก DARPA แต่ในเวทีสาธารณะ ประชากรโลกถูกทำให้เข้าใจว่าคนเหล่านี้คือผู้คิดค้น เก่ง อะไรก็ว่าไป
Silicon Valley ล่วนอยู่ภายใต้ DARPA ทั้งนั้น นอกจากนี้ สื่อกระแสหลักกว่า 90% มีเพียง 6 บริษัทเท่านั้นที่เป็นเจ้าของซึ่งก็อยู่ภายใต้เครือค่ายกลุ่ม อภิมหาเศรษฐีเหล่านี้
ผมเขียนเรื่องนี้สั้นๆ เพื่อให้คุณทราบว่า หน่วยงานเหล่านี้เป็นเครือเดียวกัน มีวาระพลักดันให้ทุกกคนฉีดยาทดลองนี้ กลุ่มที่สร้างอาวุธชีวภาพนี้ คือกลุ่มเดียวกันที่ ทำวัคซีน (ที่ไม่ใช่วัคซีน) คือกลุ่มเดี่ยวที่ควบคุมสื่อ คือกลุ่มเดียวกันที่ควบคุมแพทย์ คือกลุ่มเดียวกันที่ ต้องการลดประชากรโลก (รายละเอียดพร้อมหลักฐานใน บทความ ความลับของวัคซีน mRNA ฉบับต่อๆ ไป)
พวกเขาควบคุม WHO, FDA, CDC รวมถึงแพทย์ หมอ นักวิทยาศาสต์ต่างๆ นักการเมือง ดารา ใครที่ไม่ทำตามวาระนี้ จะไม่สามารถออกความคิดเห็นของพวกเขาได้ และถูกเซนเซอร์ จากสื่อ โซเชี้ยลมีเดีย ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา นี้คือสาเหตุที่คุณจะไม่มีวันได้รับข้อมูลเชิงลบของวัคซีน และ แพทย์ต่างๆ
ทั้งรัฐบาลและสื่อ จะออกมาโจมตีทำลายความน่าเชื่อถือ/เซนเซอร์บุคคลที่สะแดงความคิดเห็นว่าวัคซีนไม่ปลอดภัย โดยการกล่าวหาว่าเป็นพวกที่เชื่อในนักทฤษฎีสมคบคิด เมื่อประชาชนมาพบเห็นข้อมูลเช่นในหน้านี้ก็จะมองว่า กลุ่มที่ทำข้อมูลนี้เป็นพวกที่หลงเชื่อใน นักทฤษฎีสมคบคิด แต่หากคุณสังเกตคุณจะเห็นว่าทุกข้อมูลที่ผมลง ผมนำหลักฐานทางเอกสารและอื่นๆ มาชี้แจง เราไม่แอนตี้วัคซีน เราแอนตี้การหลอกลวงที่กำลังนำไปสู่วาระของคนกลุ่มนี้
ดาราชื่อดัง อดีตนักบาส NBA ออกมาทำคลิปและยอมรับว่าเขาได้รับเงิน (ซึ่งเขาปฏิเสธ) เพื่อให้ออกมาแพร่ความกลัวและแนะนำผู้คนให้ทำสิ่งที่รัฐสั่งให้ทำ นอกจากนี้เขายังพูดอีกว่า ดาราหลายคนรับข้อเสนอเหล่านี้
ผมขอแนะนำให้คุณใช้วิธีการตรวจหลักฐาน เป็นมาตรฐานในการรับข้อมูลของคุณครับ อย่าเชื่อเรา อย่าเชื่อแพทย์โซเชียลและทีวี หรือ เชื่อข่าวที่ใช้ความกลัวจูงนำเรา
ธรรมชาติของมนุษย์คือ เมื่อมีความรู้สึกที่รุนแรง เราจะขาดสติในการคิดด้วยตรรกะและเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความอยากใดๆ ก็ตามเช่นการลงทุน (อยากรวย) ใช้เงินเกินตัว (อยากได้) หรือ ความกลัวตายจากไวรัส ซึ่งเป็นความรู้สึกทั้งหมด ที่ทำให้เราไม่สามารถ ตั้งสติได้ นี้คือสาเหตุที่จะต้องมีการนำเสนอความกลัว (ข่าว คลิปแพทย์ และช่องทางอื่นๆ ทั้วสารทิศ) ตลอดเวลาไม่งั้นแล้วความกลัวจะเบาลง แล้วเราจะเริ่มเห็นความผิดปกติที่กำลังเกิดขึ้น
มนุย์เราเป็นแบบนี้ครับ เวลาที่เรากลัวสมองทางด้านเหตุและผลจะหยุดการทำงานและใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจ ซึ่ง ในสภาวะเช่นนั้น แพทย์ทีวีและสื่อจะใช้ความน่าเชื่อถือของตน (ที่ให้ความรู้สึกสบายใจ ทั้งๆ ที่เราเองก็ไม่รู้อะไรคือความจริงและยังคงมีความกังวล แต่เราไว้ใจพวกเขา) ชี่นำทางและเราก็เดินตามโดยไร้สติขั้นที่ว่าไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังขาดสติ อย่าลืมนะครับ กำไรจากวัคซีนมากพอที่จะทำให้มนุษย์พูดความจริงเพียงแค่ครึ่งเดียว วงการไหนมีเงินวงการนั้นมีทุจริตเสมอ ไม่มากก็น้อย เพราะมนุษย์ทั้งหมดมีกิเลสไม่งั้นเราคงไม่ได้มาอยู่บนโลกใบนี้หรอกครับ
ที่มา
ความลับของวัคซีน mRNA (ทุกอย่างที่คุณควรรู้) – Rookon รู้ก่อน!